เที่ยวอิตาโกะ ทริปเล็ก ๆ ใกล้โตเกียว (Itako: A Relaxing Side Trip from Tokyo)
Friday, March 06, 2020
สำหรับคนที่มาเที่ยวโตเกียวแล้วมีเวลาเหลือวันสองวัน
อยากไปเที่ยวต่างจังหวัดแต่ไม่อยากนั่งรถนาน อยากไปที่คนไม่พลุกพล่าน
ชมธรรมชาติสวย ๆ ชิลกับอาหารทะเลสดอร่อย ราคาไม่แพง ต๊ะขอแนะนำเมืองอิตาโกะ (https://visititako.com/th/) เมืองเล็ก
ๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากโตเกียวนะคะ อิตาโกะตั้งอยู่ในจังหวัดอิบารากิ
จากโตเกียวนั่งรถบัสไปใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเองค่ะ
วันที่
6-7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาต๊ะได้รับเชิญจากเทศบาลเมืองอิตาโกะให้มาร่วมทัวร์ และนี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเที่ยวเมืองนี้ค่ะ
ต๊ะออกเดินทางพร้อมกับลูกค้าและบล็อกเกอร์อีก 3 คน จากสถานีโตเกียวเช้าตรู่วันที่
6 โดยรถบัสค่ะ ถ้าใครยังไม่เคยนั่งรถบัสระยะสั้นในญี่ปุ่น เล่าให้ฟังนิดนึงนะคะว่าบนรถจะไม่ได้ระบุที่นั่ง
ตรงไหนว่างนั่งได้เลย ส่วนที่จัดเก็บสัมภาระด้านบนมีจำกัด
ถ้ามีกระเป๋าเดินทางอย่าลืมเอาเก็บไว้ที่ช่องเก็บกระเป๋าด้านล่างนะคะ อาหารเครื่องดื่มถ้าไม่มีกลิ่นแรง
และไม่เลอะเทอะ เอาขึ้นมากินบนรถได้เลยค่ะ
วิธีการนั่งรถบัสไปอิตาโกะไม่ยุ่งยากค่ะ
มาขึ้นรถที่ท่ารถตรงประตู Yaesu South Exit ในสถานีโตเกียวเดินไปเคาน์เตอร์และซื้อบัตร
รถจะจอดด้านหน้าทางออกค่ะ นอกจากรถบัสแล้วถ้าอยากเช่ารถขับเองก็มีที่ให้เช่าหลายแห่ง
แต่ขอแนะนำเป็นจากสนามบินนาริตะนะคะ เพราะห่างออกไปแค่ราวครึ่งชั่วโมง
มีรถให้เลือกเยอะค่ะ ส่วนการนั่งรถไฟอาจจะต้องเปลี่ยนรถหลายครั้งหน่อย
แต่ก็น่าจะสะดวกสำหรับคนที่มี JR Pass นะคะ
เลือกได้ตามความสะดวกเลยค่ะ
มาถึงอิตาโกะในช่วงสาย
เราเริ่มทริปกันที่ซุยโก อิตาโกะ อายาเมะเอน (Suigo
Itako Ayame-en) สวนสวยริมน้ำที่เป็นสถานที่จัดงาน“ชมดอกไอริส ณ ซุยโก อิตาโกะ”
งานเทศกาลชมดอกไอริสชื่อดังของเมืองนี้ค่ะ ในเทศกาลนี้จะมีโยเมะอิริบุเนะ หรือเรือเจ้าสาวเป็นไฮไลท์ มีเจ้าสาวในชุดสีขาว
พ่อแม่เจ้าสาว ซึ่งแต่งตัวกันสวยงาม
ล่องเรือมาตามสายน้ำที่รายล้อมไปด้วยดอกไอริสบานสะพรั่ง โยเมะอิริบุเนะนี้มีความเป็นมายาวนานกว่า
100 ปีทีเดียวนะคะ
ในอดีตแม่น้ำเป็นเส้นทางหลักที่ผู้คนในอิตาโกะใช้สัญจรไปมา
ทั้งการขนส่งสินค้า การเดินทางไปมาหาสู่กันใช้เรือทั้งหมด
และเมื่อลูกสาวบ้านไหนจะออกเรือนก็จะมีพิธีส่งเจ้าสาวบนเรือไม้ นั่งเรือล่องไปตามสายน้ำจนถึงบ้านเจ้าบ่าว
บนเรือจะมีเจ้าสาวที่สวมชุดเจ้าสาวสีขาวนั่งอยู่ด้านหน้า
พ่อแม่เจ้าสาวนั่งอยู่ท้ายเรือ บนเรือจะมีข้าวสารพันธุ์พิเศษ และแก้วแหวนเงินทอง
ตามแต่ทางครอบครัวเจ้าสาวจะจัดหา ให้ติดตัวเจ้าสาวไปในวันที่ต้องเข้าสู่ครอบครัวใหม่
ทุกวันนี้โยเมะอิริบุเนะ
หรือเรือเจ้าสาวเป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยมาก ๆ ถ้าสนใจอยากเห็นภาพโรแมนติกแบบนี้
แวะมาเที่ยวที่นี่ช่วงปลายเดือน พ.ค.- ปลายเดือน มิ.ย. นะคะ
(ช่วงเวลาที่ดอกไม้บานอาจแตกต่างกันนิดหน่อยในแต่ละปีค่ะ)
วันที่เรามาถึงอากาศยังเย็นจัด
เป็นช่วงปลายฤดูหนาว แม้จะไม่หนาวจัดเท่าทุกปี แต่ลมแรงผมปลิวกระจัดกระจาย
ยังดีที่มีแดด และท้องฟ้าสดใส เราล่องเรือชมบรรยากาศริมแม่น้ำ บนเรือไม้ขนาดกว้างขวาง
นั่งได้แถวละ 2 คน มีที่เหลือสำหรับวางของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่งสบายค่ะ
ทุกคนที่นั่งเรือต้องสวมเสื้อชูชีพ และมีขนาดสำหรับเด็กด้วยนะคะ
สองข้างทางมองไปเห็นบ้านเรือนและต้นส้มออกลูกสีทองเต็ม ไกลออกไปเห็นเจ้าหน้าที่ดูแลสวนกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น
ถึงจะหนาวไปสักนิดแต่ก็รู้สึกเหมือนได้รับพลังบวกจากฝีพายที่ใบหน้าระบายยิ้มอยู่ตลอดเวลา
ออกจากสวนก็เป็นเวลาของมื้อกลางวันค่ะ
วันนี้เราจะกินข้าวหน้าปลาไหลซึ่งเป็นอาหารชื่อดังอย่างหนึ่งของย่านนี้นะคะ เราแวะร้านคินซุย
(Kinsui)
ร้านข้าวหน้าปลาไหลเล็ก ๆ บรรยากาศอบอุ่น และบริการเป็นกันเอง หาไม่ยากนะคะ
หน้าร้านมีกังหันวิดน้ำ ร้านตั้งอยู่ริมถนนห่างจากสวนไปแค่ 5-6 นาทีเท่านั้นเองค่ะ
เมนูที่เราสั่งคืออุนาจู
ข้าวหน้าปลาไหลเสิร์ฟในกล่องสี่เหลี่ยม เป็นปลาไหลย่างซอสคาบายากิรสเค็มหวาน
เนื้อปลาไหลนุ่ม หอม ไร้กลิ่นคาว มาพร้อมกับผักดองจานเล็ก ๆ ซุปใสที่ทำจากปลาไน
มีหัวใจปลาใส่มาด้วยนะคะ มื้อนี้อิ่มพอดีสำหรับหนุ่ม ๆ และสำหรับสาว ๆ
ที่กินเยอะค่ะ บอกก่อนว่าปกติร้านสไตล์นี้จะไม่ค่อยมีเมนูภาษาอังกฤษนะคะ เมนูที่มีรูปถ่ายบางร้านก็อาจจะไม่มี
แต่ยุคนี้ก็ไม่ยุ่งยากค่ะ เราเอารูปอาหารในมือถือให้พนักงานดูเค้าก็เข้าใจ
หรือจะลอกโต๊ะข้าง ๆ ก็ได้ค่ะ ต๊ะทำบ่อย
ถ้าใครมาเที่ยวเป็นกลุ่มแล้วมีสมาชิกที่ไม่กินปลาไหล
ในร้านมีเมนูอื่นให้เลือกนะคะ
พออิ่มจากมื้อกลางวัน
เราก็เดินต่อไปที่ Itako Tourist Information Center ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวของที่นี่ค่ะ ระหว่างทางมีร้านอาหารเล็ก ๆ น่ารัก ๆ เยอะมาก
ถ้าไม่ติดว่าอิ่มแล้ว มีร้านที่อยากแวะนั่งอีกเยอะเลยค่ะ
นอกจากจะมีแผ่นพับแล้วที่ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวอิตาโกะ
ยังมีบริการจักรยานเช่าด้วยนะคะ ค่าเช่าวันละ 500 เยนเท่านั้นเองค่ะ
จากจุดนี้เรานั่งรถไปที่
Isoyama-tei บ้านพักที่ปรับโฉมมาจากอาคารเก่าแก่อายุกว่า 120 ปี เป็นที่ที่ต๊ะจะนอนในคืนนี้ค่ะ
โครงสร้างของอาคารหลังนี้มีทั้งที่อนุรักษ์ไว้และที่สร้างขึ้นใหม่ไม่ได้เป็นของเก่าทั้งหมดนะคะ
ที่ชอบเป็นพิเศษคือเพดานที่ทำจากไม้ไผ่ซี่เล็ก ๆ เรียงกัน เป็นระเบียบ สวยเรียบและดูเข้ากับตึกโดยรวมเป็นที่สุด
ด้านในมีพาร์ติชั่น
มีโมบายสไตล์ญี่ปุ่นสวย ๆ ประตูกระดาษแบบเลื่อน งานไม้ตกแต่งประณีตละเอียดละออ
แค่เดินเข้ามาก็รู้สึกผ่อนคลายแล้วล่ะค่ะ
ต๊ะเคยพักในบ้านที่มีประตูกระดาษแบบเลื่อนมานับไม่ถ้วน บ้านต๊ะเองก็ใช้ประตูกระดาษ
แต่ประตูกระดาษบาง ๆ ตกแต่งด้วยไม้แบบนี้พึ่งเคยเห็น ดูเรียบ ๆ แต่งดงามสบายตา
ตรงด้านหน้ามีโต๊ะเล็ก
ๆ วางแผ่นพับท่องเที่ยว มีข้าวเกรียบกุ้งแม่น้ำ และข้าวเกรียบปลาชิราอุโอะ
จะซื้อเป็นของฝากหรือจะซื้อกินเล่นก็ได้นะคะ ถึงจะดูเป็นขนมธรรมดา ๆ แต่รสชาตินั้นขอท้าให้ลองค่ะ
นอกจากขนมแล้วในที่พักก็มีชากาแฟบริการ และโฮมเมดโยเกิร์ตขายด้วยนะคะ
ใกล้
ๆ Isoyama-tei เดินออกไปนิดเดียวเป็นที่ตั้งของ Tsugaru Domain Building Site
& Storehouse โกดังเก็บสินค้าเก่าเอามาปรับโฉมเป็นที่จัดแสดงตุ๊กตาเทศกาลฮินะมัตสึริ
(เทศกาลวันเด็กผู้หญิง) ด้านในมีการจัดแสดงตุ๊กตาฮินะแบบแขวน และแบบตั้งโต๊ะน่ารัก
ๆ ขนาดเล็กใหญ่ เต็มไปหมดเลยค่ะ
ส่วนตัวแล้วต๊ะชอบการจัดแสงของที่นี่นะ
ใช้แสงธรรมชาติกับแสงไฟนีออนรวมกัน ดูไม่มืด แต่ก็ใม่สว่างจ้า เพดานสูงโปร่ง
ดูผ่อนคลาย ค่อนข้างแน่ใจว่าเด็กเล็ก ๆ
ก็จะเข้ามาได้โดยไม่รู้สึกกลัวและรู้สึกสนุกสนานได้ เป็นที่ที่น่าเดินที่นึงนะคะ
จากตรงนี้เรานั่งรถไปที่วัดโจโชจิ
(Choshoji)
วัดเก่าแก่บรรยากาศเงียบสงบ เดินเข้าไปเห็นดอกบ๊วยสีขาว
สีชมพูบานส่งกลิ่นหอมแตะจมูก ในวัดนี้มีจัดกิจกรรมดื่มน้ำชา และนั่งสมาธิแบบซาเซ็น
ถ้าสนใจนั่งสมาธิแบบญี่ปุ่นในบรรยากาศผ่อนคลาย มาแวะเลยค่ะ (ต้องจองล่วงหน้านะคะ)
เป้าหมายต่อไปอยู่ที่
Aiyu
Sake Brewery โรงบ่มสาเกแห่งเดียวของเมืองอิตาโกะ เราจะไปเดินชมโรงบ่มและศึกษากระบวนการผลิตสาเกกันค่ะ
ตั้งแต่อยู่ญี่ปุ่นมาต๊ะเคยไปชมโรงบ่มสาเกมาหลายครั้งแล้วล่ะค่ะ แต่ก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อ
และยังตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ไป
วันนี้ได้เดินเข้าไปดูสายการผลิต
ดูอุปกรณ์ที่ใช้ล้างข้าว ขัดข้าว นึ่งข้าว บ่มและเก็บสาเก ออกมาแวะร้านค้าด้านหน้าและแน่นอนว่าต้องมีการชิมสาเก
ขอออกตัวก่อนว่าถึงจะดื่มบ่อยแต่ต๊ะไม่ใช่กูรูนะคะ เอาเป็นว่าขออธิบายรสชาติจากความรู้สึกแล้วกันนะคะ
สาเกสดนี่รสชาติชื่นใจมาก เวลาที่ไหลผ่านลำคอรู้สึกอุ่นทันที
หน้าหนาวอย่างนี้มันดีงามมากค่ะ อาจจะแรงหน่อยสำหรับสาว ๆ
แต่สำหรับต๊ะแก้วเดียวไม่เมาค่ะ
ในโซนนี้มีของที่ระลึกขายหลายอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นสาเกสดแช่เย็น เหล้าบ๊วย ผักดอง มีขนมเค้กที่ใส่สาเกด้วยนะคะ
ขนมเค้กนี่ต้องบอกว่าเป็นของฝากที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
แต่ก็ไม่ได้ซื้อมาเพราะกลัวเละ นึกแล้วก็เสียดายเหมือนกันค่ะ
ก่อนออกจากโรงบ่มสาเก เราได้มีโอกาสลองร่วมพิธีทุบถังสาเกญี่ปุ่น (Kagami Biraki) ซึ่งปกติจะเป็นพิธีที่เป็นส่วนหนึ่งของงานเปิดบริษัทห้างร้าน จะมีคนราว 3-5 คน ใช้ค้อนไม้ทุบถังสาเกพร้อม ๆ กัน ว่ากันว่าถ้าทุบครั้งเดียวแตกจะโชคดีและร่ำรวยยิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ
นอกจากกลุ่มเราแล้ว
ต๊ะยังแอบเห็นลูกค้าคนญี่ปุ่นกลุ่มอื่นสนุกกับกิจกรรมนี้ด้วยนะคะ ถ่ายรูปถ่ายคลิปกันน่าดู
ดูเวลาแล้วตอนนี้เริ่มเย็นและพลังเริ่มหมด
ขอกลับที่พักและเตรียมตัวออกไปหามื้อเย็นอร่อย ๆ ก่อนนะคะ
ร้านที่เราเลือกเป็นร้านซูชิบรรยากาศสบาย
ๆ ส่วนเมนูที่สั่งจะเป็นอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ
ชินยะ(Shinya) เป็นร้านซูชิที่โดดเด่นด้านอาหารทะเล มีเมนูให้เลือกหลากหลาย
วันนี้พวกเราเลือกสั่งเป็นคอร์สนะคะ
จานแรกที่เห็นด้านบนเป็นปลาหมึกหิ่งห้อยต้มราดซอสมิโซะรสเผ็ดหวาน
มากับเต้าหู้อ่อน และหอยต้ม วิธีการกินคล้ายหอยขมบ้านเรานะคะ
เอาไม้จิ้มออกจากเปลือก หอยสด รสหวานไม่ขม อร่อยค่ะ
ถัดมาเป็นซาชิมิรวมมิตร
มีปลาทูน่า ปลาบุรี และปลาหมึกยักษ์ ทุกอย่างสดใหม่
ที่ชอบเป็นพิเศษคือปลาหมึกยักษ์ เนื้อนุ่มมาก
จานต่อไปเป็นหอยเชลล์กราแตงค่ะ
จานนี้รสชาติจะออกเค็มหน่อย หอมชีสมาก หอยเชลล์ปรุงมาแบบสุกพอดี ๆ
ไข่ตุ๋นญี่ปุ่นที่มาเสิร์ฟต่ออาจจะดูเป็นเมนูธรรมดา
ๆ แต่รสชาติไม่เหมือนที่เคยกินค่ะ มีรสเค็มจากเกลือ ไม่มีกลิ่นปลา กลิ่นดาชิ
มีรสหวานนิด ๆ จากเห็ดหอม ส่วนผสมดูเรียบง่ายไม่ซับซ้อนแต่อร่อยเหาะ
เสร็จจากของนึ่งก็มาต่อกันด้วยของทอด
เป็นเทมปุระรวมมิตร มีเทมปุระกุ้ง ปลาชิราอุโอะ ฟุกิโนโตะ (Fuki-Noto) ผักภูเขาอย่างหนึ่ง เป็นอาหารฤดูใบไม้ผลิ
มีรสขมจาง ๆ ที่ปลายลิ้น เวลาเอาไปจิ้มกับเกลือแล้วอร่อยดีค่ะ
มาถึงจานสุดท้ายแล้วค่ะ
เป็นขนมเค้กที่ทางร้านน่าจะไม่ได้ทำเอง ชิมดูจะเย็นนิดนึง น่าจะเป็นเค้กแช่แข็ง
แต่อร่อยใช้ได้อยู่ค่ะ เนื้อเค้กนุ่ม ไม่หวานจัด ชิ้นเล็ก ๆ กำลังดี
ในร้านมีเมนูเครื่องดื่มเยอะพอสมควรนะคะ
มีไวน์ เหล้าบ๊วย ถ้าไม่ดื่มเหล้าจะสั่งอย่างอื่นก็ได้
แต่ต๊ะไม่ค่อยชอบดื่มอะไรนอกจากน้ำเปล่าหรือน้ำชา วันนี้เลยไม่ได้สั่ง
เดินออกมาข้างนอก
ท้องฟ้ามืดสนิท มองเห็นดาวเต็มท้องฟ้า
ไม่เคยได้ยินว่าอิตาโกะเป็นที่ดูดาวในญี่ปุ่นนะคะ แต่ท้องฟ้าคืนนั้นสวยมากค่ะ
รู้สึกคุ้มที่ได้มา ในโตเกียวไม่มีโอกาสได้เห็นอะไรแบบนี้แน่ ๆ นั่งรถกลับที่พัก
บรรยากาศสองข้างทางเงียบ ๆ มองไม่เห็นร้านสะดวกซื้อสักแห่ง
ถ้าหิวบ่อยเตรียมเสบียงติดไว้ตอนกลางคืนนิดนึงนะคะ
กลับมาถึงที่พักแล้ว
อาบน้ำและเดินสำรวจที่พักอีกนิดหน่อยนะคะ ตัวอาคารเป็นแบบเก่าก็จริง
แต่ห้องน้ำและห้องครัวเป็นแบบโมเดิร์นนะคะ ที่สำคัญแชมพู ครีมนวด ใช้แล้วผมหอม
ผมลื่นมาก เวลาไปพักตามโรงแรมญี่ปุ่นต๊ะมักจะเตรียมยาสีฟัน แปรงสีฟันมาเอง
แต่แชมพูกับครีมนวดจะต้องลองของที่พักตลอด
เพราะหลายครั้งมันดีจนต้องไปหาซื้อใช้ต่อ
กลางคืนแถวนี้ค่อนข้างเงียบ
หรือเงียบสนิทเลยทีเดียวก็ว่าได้ หลับสบายเหมือนโดนที่นอนดูด ต๊ะชอบเมืองนี้นะ
ออกจากที่พักไปกินข้าวที่โรงแรม
Itako
Station Hotel เป็นอาหารชุดสไตล์ญี่ปุ่นค่ะ
ทั้งหมดคือเยอะมากจนต้องขอคืนถั่วเน่า เพราะมันยังอยู่ในกล่องอยู่ในสภาพที่คืนได้
ต๊ะเป็นคนช่างเสียดาย ไม่ชอบให้อาหารเหลือ
อาหารเช้าหน้าตาดูธรรมดา
แต่ก็ใส่ใจรายละเอียดดีอยู่ค่ะ ปลาซัมมะย่างกรอบ
หอมใหญ่ในซุปมิโซะสุกนิ่มแต่ไม่เละ ส้มที่เสิร์ฟมาด้วยกันหวานมาก หวานสนิท
หวานที่สุดตั้งแต่กินส้มในญี่ปุ่นมา อาหารเช้าถือว่าเยอะมาก อิ่มจนแทบกลิ้ง
จากโรงแรมที่นี่
ต๊ะเปลี่ยนพาหนะจากรถลูกค้ามาเป็นแท็กซี่ ซึ่งต๊ะก็ชอบนะ
แท็กซี่ญี่ปุ่นดีที่สุดคือรู้ทาง ไม่เคยถามผู้โดยสาร สุภาพ และรอบรู้
คุยสนุกมากโดยเฉพาะคนแก่ ๆ นั่งแท็กซี่ในญี่ปุ่นไม่ยากน้า
ต๊ะเองก็รู้ศัพท์ญี่ปุ่นระดับเด็กประถมเท่านั้นเอง
นั่งรถจากโรงแรมผ่านทุ่งนา
ทะเลสาบสวย ๆ ไปต่อที่ Namegata Farmer’s Village ชื่อดูเป็นหมู่บ้านแต่จริง ๆ ต้องบอกว่าเป็นสวนเกษตรขนาดใหญ่มาก ๆ
มีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย วันนี้จะมาแวะเที่ยว Yaki-imo Factory Museum
หรือพิพิธภัณฑ์โรงงานมันเผากันค่ะ
เดินผ่านโถงด้านหน้าเป็นจุดขายของฝาก
แวะสำรวจคร่าว ๆ ก็มีทั้งผักสด ขนมจากมันเทศ มันม่วง ไม่ว่าจะเป็นมันเทศตากแห้ง
มันหวานญี่ปุ่นอบ มันจู มีร้านขายขนมปังที่เน้นส่วนผสมจากมันเทศ
และที่สะดุดตาก็คืออุด้งผสมมันม่วงค่ะ อ้อ เครื่องสำอางก็มีนะคะ
ด้านหน้ามองเห็นมันเทศสีม่วง
เรามาถึงทางเข้าพิพิธภัณฑ์กันแล้วค่ะ
พิพิธภัณฑ์โรงงานมันเผาตั้งอยู่ในอาคารที่เดิมเคยเป็นโรงเรียนมาก่อน
การจัดแสดงภายในหลายอย่างจึงจำลองบรรยากาศในห้องเรียนมาค่ะ มีคุณครู นักเรียน
มีรายงาน มีส่งการบ้านเกี่ยวกับมันเทศ ที่นี่เด็ก ๆ มาเที่ยวคงจะสนุกมาก
แต่ผู้ใหญ่ก็เดินเพลินอยู่ค่ะ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ดูผ่อนคลาย
ของที่จัดแสดงจับต้องได้ไม่ต้องระวังเด็ก ๆ จะซุกซน
ถ้าพอมีเวลาสักหน่อย
ที่นี่มีเวิร์คช็อปทำอาหาร ทำขนมด้วยนะคะ มีจดสูตรขึ้นกระดานดำ มีผ้ากันเปื้อน
มีหมวกคลุมผมให้พร้อม ดูอาจจะเป็นกิจกรรมสำหรับเด็ก ๆ แต่ผู้ใหญ่ก็เข้าร่วมได้นะคะ
ห้องที่ใช้จัดเวิร์คช็อปเคยเป็นห้องเรียนวิชาคหกรรมของโรงเรียนมาก่อน
ลองมาดูและศึกษาวิธีบริหารพื้นที่ของญี่ปุ่นนะคะ น่าสนใจมาก
ตักบุฟเฟต์มาแบบพอเพียงนะคะ
แต่สายตาก็สำรวจดูอยู่ค่ะ มีสลัดผักให้เลือกเยอะมาก ๆ
ต๊ะเลือกหัวไชเท้าและแครอทดองมา เพราะกินหนักมาหลายมื้อ
เวลากินผักดองรู้สึกสบายท้องมากขึ้น ในจานมีขนมปังมันเทศ มันหวานญี่ปุ่นอบ
แล้วก็วุ้นรสกาแฟดำค่ะ
เสร็จแล้วนั่งรถแท็กซี่ไปเที่ยวต่อที่ศาลเจ้าคาชิมะ
(Kashima
Shrine) ที่สถิตย์ของเทพแห่งศิลปะการต่อสู้
หนึ่งในสามศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคคันโต
ไกด์อาสาสมัครที่นำเที่ยวเล่าว่าป่าสนในเขตศาลเจ้าแห่งนี้เป็นป่าที่เก่าแก่มาก
ๆ มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หลายต้น รวมทั้งต้นสนดึกดำบรรพ์อายุกว่า 800 ปี
บรรยากาศด้านในร่มรื่น เต็มไปด้วยสีเขียว ตลอดทางเดินได้กลิ่นหอมของต้นสนฮิโนคิ
รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ระหว่างทางแวะหอสักการะ
กราบไหว้ขอพรเทพเจ้าแล้วเราก็เดินต่อไป
ถึงสวนกวางในศาลเจ้า
กล่าวกันว่ากวางเป็นผู้ส่งสารแห่งเทพเจ้า ในศาลเจ้าจึงเลี้ยงกวางเอาไว้หลายตัว
ถ้าเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเยอะ ๆ ร้านค้าด้านข้างจะเปิดขายอาหารกวาง
ถ้ามาช่วงนั้นเราก็ให้อาหารกวางกันได้ค่ะ
ในศาลเจ้ามีพื้นที่กว้างขวางและมีตำนานหลายอย่างที่น่าสนใจ
อย่างตำนานที่คล้ายกับตำนานปลาอานนท์ของบ้านเราก็มีนะคะ
คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าแผ่นดินไหวเกิดขึ้นเพราะปลาดุกยักษ์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินพลิกตัว
ในศาลเจ้านี้จึงมีหินขนาดใหญ่สลักรูปเทพเจ้ากำลังแทงปลาดุกยักษ์ด้วยแท่งหินเพื่อไม่ให้ปลาดุกยักษ์ขยับตัว
ออกจากศาลเจ้านั่งรถผ่านทางเข้าสังเกตเห็นร้านอาหารและคาเฟ่เรียงรายตลอดทาง
ถ้าเป็นช่วงเทศกาลนักท่องเที่ยวน่าจะมาที่นี่กันเยอะมาก ๆ ถ้ามีโอกาสได้กลับมาอีก
ต๊ะจะอยู่ที่นี่สักครึ่งวัน หรือทั้งวัน เพราะมีอะไรให้ทำหลายอย่างจริง ๆ
เดินเที่ยวเสร็จแล้วถ้าหิวก็มีของกินอร่อย ๆ รออยู่ด้านหน้าทางเข้า
นั่งรถข้ามสะพานมองเห็นเสาโทริอิกลางทะเลลิบ
ๆ ตรงนี้ต๊ะไม่แน่ใจว่าจะใช่อาณาเขตของศาลเจ้าคาชิมะหรือเปล่า
เพราะห่างออกมาไกลพอสมควร แต่ที่แน่ใจคือสวยมาก น่ามาตั้งกล้องถ่ายรูป
สวยจนต้องมองเหลียวหลัง
นั่งรถไปประมาณ
20 นาทีก็ถึง Hakucho no Sato จุดชมนกของย่านนี้นะคะ ปกติแล้วต๊ะไม่ได้ถ่ายรูปนกบ่อย ๆ นะ
เพราะไลฟ์สไตล์กับอุปกรณ์ไม่อำนวย ตอนเช้าตรู่ต้องทำอาหาร
และเลนส์ซูมที่มีซูมได้ไม่กี่เมตร ได้มาดูนก
ถ่ายรูปนกในระยะใกล้ขนาดนี้ก็ถือเป็นเรื่องพิเศษมาก ๆ นะคะ
ที่เห็นนกเยอะขนาดนี้ก็เพราะที่นี่ใกล้แหล่งน้ำ และมีอาสาสมัครมาให้อาหาร
นกก็จำได้ และบินมารอทุกวัน
นกที่มีเยอะช่วงนี้คือนกนางนวลและเป็ดป่านะคะ
แต่ละช่วง แต่ละฤดูนกที่มาก็จะไม่เหมือนกัน ถ้าจังหวะดีก็จะได้เห็นหงส์สีขาวว่ายวน
คิดว่าตรงนี้น่าจะเป็นจุดชมวิว จุดชมพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกที่สวยแห่งหนึ่งนะ
เพราะองค์ประกอบครบ มีทั้งน้ำใส นก และภูเขา
จากจุดนี้ก็ใกล้ถึงเวลากลับบ้านแล้วค่ะ
เราแวะที่จุดพักรถ Michi no Eki Itako เป็นจุดสุดท้าย จริง ๆ ที่ตรงนี้มีทั้งโซนของฝาก และโซนผักสด ของสด
แต่ต้องขอสารภาพว่าต๊ะอยู่แค่โซนของฝาก วนเลือกของจนไม่ได้ไปดูอีกโซนหนึ่ง
ซื้อข้าวเกรียบปลาชิราอุโอะ พร้อมข้าวเกรียบสไตล์ของฝากที่มีประทับรูปสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัด
และของฝากโคชิอีกหลายอย่างจนต้องแพคกระเป๋าใหม่ก่อนขึ้นรถเลยทีเดียว
นั่งรถบัสที่ท่ารถกลับสถานีโตเกียว
ใช้เวลาพอ ๆ กับขามา รถไม่ติดเลยค่ะ แต่คนบนรถเยอะกว่าที่คิดนิดหน่อย
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นคนอิตาโกะเดินทางไปทำงานที่โตเกียว
หรือคนโตเกียวไปเที่ยวแล้วเดินทางกลับ แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่นักท่องเที่ยวต่างชาติค่ะ
ยังไงขอฝากอิตาโกะไว้
สำหรับคนที่มาโตเกียวแล้วมองหาที่เที่ยวต่างจังหวัดใกล้ ๆ ถ้าชอบชมธรรมชาติ
สนใจประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และไม่ชอบคนพลุกพล่าน มาเที่ยวกันนะคะ
วีธิเดินทางไปอิตาโกะ
- นั่งรถบัสจากสถานีโตเกียว https://tokyo-busterminal.tokyo/en/ (90 นาที)
- เช่ารถจากสนามบินนาริตะ https://www.narita-airport.jp/en/service/svc_51
- นั่งรถไฟจากสถานีโตเกียว นั่ง JR Sobu Line ลงที่สถานี Chiba เปลี่ยนไปนั่ง JR Narita Line ลงที่สถานี Sawara เปลี่ยนไปนั่ง JR Kashima Line ลงที่สถานี Itako (110 นาที)
0 comments