Saturday, January 26, 2019

รอยัลมิลค์ที สโคน (Royal Milk Tea Scones)

รอยัลมิลค์ที (Royal Milk Tea) เป็นชาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดชนิดหนึ่งในญี่ปุ่น เป็นชาดำที่มีส่วนผสมหลักคือชาอัสสัมและชาดาร์จีลิง มีขายทั่วไปทั้งแบบร้อนเย็น หาได้ตามร้านสะดวกซื้อ ร้านคาเฟ่ กดได้ตามตู้ขายของอัตโนมัติ และแน่นอนว่ามีขายเป็นแบบผง ผสมนม ผสมนํ้าตาล พร้อมดื่มขายตามซุปเปอร์ทั่วไปและแบบที่ว่านี้เป็นแบบที่ใช้เป็นส่วนผสมของ รอยัลมิลค์ที สโคน (Royal Milk Tea Scones) สูตรนี้ค่ะ

ที่ผ่านมาเคยทำสโคนไปแล้วรอบนึง ขอบอกว่าชอบมาก ทั้งรสชาติและความพยายามที่ใส่ลงไปในระหว่างทำ เป็นขนมไม่กี่อย่างที่ทำกินได้อร่อยเหมือนไปกินข้างนอก คือพยายามน้อยแต่อร่อยไม่ต่างจากสโคนที่ไปกินตามร้านเลยค่ะ วันนี้เลยทำอีกรอบเป็นสโคนที่มีส่วนผสมของชา ได้กลิ่นหอมตลอดทั้งตอนผสมแป้ง ตอนอบ และตอนอุ่นร้อน ๆ ก่อนจะเอาเข้าปาก ใครที่รักกลิ่นหอมของชาดำ อย่าพลาดสโคนสูตรนี้นะคะ

ประกาศข่าวนิดหน่อย ตอนนี้ต๊ะมี Instagram แล้วนะคะ หลังจากคลำทางอยู่นานก็หาวิธีโพสต์รูปผ่าน PC สำเร็จแล้ว หลาย ๆ คนอาจจะพอรู้ว่าต๊ะถ่ายรูปด้วยกล้อง dslr และแต่งรูปด้วยโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ การเปิดไอจิแล้วโพสต์รูปด้วยโทรศัพท์ดูจะเป็นเรื่องยุ่งยาก วุ่นวาย หลายขั้นตอน ก็เลยไม่ได้เปิดสักที ตอนนี้ทำได้แล้ว เข้าไปดู ไปติดตามกันได้นะคะ

เอาล่ะค่ะ ตามมาดูสูตรรอยัลมิลค์ที สโคน (Royal Milk Tea Scones) ที่ต๊ะทำกินกับซาดาโอะ และโคชิดีกว่า อร่อยน้า

ส่วนผสม

แป้งสาลีอเนกประสงค์ 200 กรัม

นํ้าตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ (แลดูเยอะแยะ แต่ต้องใช้เท่านี้จริงๆ)
เนย 45 กรัม
เกลือ 1/4 ช้อนชา
นมสด 50 มล.
ไข่ไก่ขนาดกลาง 1 ฟอง ตีให้เข้ากัน
วิธีทำ
1. ร่อนแป้ง รอยัลมิลค์ที เกลือ นํ้าตาล ผงฟู เข้าด้วยกัน 
2. หั่นเนยเป็นก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆ ขนาดประมาณ 1 ซม.ใช้ปลายนิ้วขยุ้มเบาๆ จนเนยเข้ากับแป้ง ไม่มีเหลือเป็นก้อนใหญ่ๆ จะได้ส่วนผสมที่มีลักษณะเหมือนเกล็ดขนมปังร่วนๆ 


3. ทำบ่อตรงกลาง เทไข่ลงไป ใช้มือผสมต่อ ใส่ถุงมือพลาสติกก็ดีนะคะ มือไม่เลอะ จากนั้นค่อยๆ เทนมสดลงไป

4. ผสมจนแป้งเข้ากันพอรวบได้ ใช้ cling film ปิด พักไว้ 30 นาที


5. อุ่นเตาอบที่ 200 องศาเซลเซียส โรยแป้งให้ทั่ว เสร็จแล้วใช้ rolling pin คลึงส่วนผสมในข้อ 4 ให้หนาสัก 1.5 ซม. เสร็จแล้วใช้พิมพ์ขนาด 2 นิ้ว กด จะได้ประมาณ 12 ชิ้น เสร็จแล้วเอาเข้าเตาอบประมาณ 15-20 นาที จนสุกเหลืองดี

ลองทำกันดูนะคะ


No comments:

Post a Comment